วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ประเภทและวัตถุดิบที่ใช้ในการทำขนมปัง

ประเภทของขนมปัง
         ขนมปังเป็นผลิตภัณฑ์ขนมอบที่ทำมาจากแป้งสาลี น้ำตาล ไขมัน เกลือ ของเหลว และสารปรุงแต่งต่างๆ โดยสามารถจำแนกออกเป็น 4 ประเภทได้ดังนี้ ...


              1.  ขนมปังผิวแข็ง (Hard Bread)มีปริมาณน้ำตาล 0-2 % มีรูปร่างเป็นท่อนกลมยาวหรือสั้น ลักษณะผิวและเนื้อค่อนข้างแข็ง เช่น ขนมปังฝรั่งเศส ขนมปังขาไก่ ขนมปังเวียนนา ถ้าเป็นก้อนกลมเรียกว่า "ฮาร์ดโรล" (Hard Roll)

              2.  ขนมปังจืด (Loaf Bread) มีปริมาณน้ำตาล 4-10%  ไขมัน 6-12% ผิวและเนื้อขนมปังจะนุ่มกว่าชนิดแรกมีรูปร่างเป็นกะโหลก และแบบสี่เหลี่ยม เช่น ขนมปังแซนด์วิช ขนมปังหัวกะโหลก ขนมปังรำ

              3.  ขนมปังซอฟต์โรล (Soft Roll)มีปริมาณน้ำตาล 10-15%  ไขมัน 6-12% ลักษณะเนื้อนุ่มกว่าขนมปังปอนด์ มีรสหวาน ได้แก่ ขนมปังชนิดหวานต่างๆ เช่น ซอฟต์บัน ขนมปังลูกเกด ขนมปังไส้หมูหยอง


              4.  ขนมปังหวาน (Sweet Dough)  คล้ายกับ Soft Roll ต่างกันตรงที่หวานกว่า มีน้ำตาลมากกว่า 16%  ไขมัน 12-24%  ขนมปังหวานสูตรเดียวสามารถดัดแปลงให้เป็นรูปร่างต่างๆ มากมาย เช่น ขนมปังมะพร้าว ซินนามอนบัน (จินธนาและคณะ : 2539)

              ขนมปังหวานก็เป็นขนมปังชนิดหนึ่ง ที่คนไทยในปัจจุบันนิยมบริโภคเป็นจำนวนมากด้วยรสชาติที่เข้มข้นกว่าขนมปัง ชนิดอื่น เนื่องจากขนมปังประเภทนี้จะใช้ปริมาณน้ำตาล นม ไขมันและไข่ สูงกว่าขนมปังชนิดอื่นๆ อีกทั้งยังสามารถบรรจุไส้ต่างๆ เพื่อเป็นการเพิ่มรสชาติ ส่วนการตั้งชื่อขนมปังนั้น ส่วนใหญ่จะเรียกชื่อตามไส้ที่บรรจุ




วัตถุดิบที่ใช้ในการทำขนมปัง
              1.  แป้งสาลี แป้งสาลีที่ใช้ในการทำขนมปัง ควรเป็นแป้งที่มีคุณภาพดี โดยทั่วไปแล้วจะนิยมใช้แป้งขนมปังโดยตรง แต่ถ้าต้องการความนุ่มของขนมปังมากขึ้นจากเดิมก็อาจจะผสมแป้งสาลีชนิดเบา เข้าไปด้วยก็ได้ เช่น แป้งสาลีอเนกประสงค์หรือแป้งเค้ก ซึ่งเนื้อสัมผัสที่ออกมานั้น จะเบากว่าการใช้แป้งขนมปังเพียงอย่างเดียว

              2.  น้ำตาล โดยทั่วไปแล้วการทำขนมปังจะนิยมใช้น้ำตาล ทรายขาวเป็นส่วนผสม ซึ่งน้ำตาลไม่ได้ให้ความหวานแก่ผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้เกิดสีแก่ผลิตภัณฑ์อีกด้วย โดยเฉพาะผู้ที่รักษาสุขภาพจะนิยมใช้น้ำตาลทรายแดงมาประกอบในการทำขนมปัง โดยน้ำตาลทรายแดงจะเป็นตัวช่วยทำให้ขนมมีสีน้ำตาลสวย และยังช่วยให้กลิ่นของขนมหอมอีกด้วย การเลือกใช้น้ำตาลในการทำขนมปังควรเลือกใช้น้ำตาลที่ละเอียด เม็ดเล็กเพื่อการละลายที่ดีในการนวด

              3.  ไขมัน
                    ไขมันที่ใช้ในการทำขนมปังนั้น ส่วนมากจะนิยมใช้เนยสด เนยขาว หรือมาร์การีน แต่บางสูตรก็อาจจะใช้น้ำมันพืชแทนไขมันตัวอื่นก็"ด้ ไขมันจะช่วยให้ขนมปังมีความนุ่ม มัน และมีรสชาติที่หอม

              4.  ไข่ไก่  ไข่ไก่จะช่วยให้ขนมปังมีกลิ่น รส สีสัน และเนื้อสัมผัสที่ดี ที่สำคัญโปรตีนของไข่ไก่ยังช่วยทำให้ขนมปังมีโครงสร้างที่ดีอีกด้วย

              5.  น้ำ  น้ำจะช่วยให้เกิดกลูเต็นในระหว่างการผสม นอกจากนั้นยังเป็นตัวช่วยทำละลายส่วนผสมอื่นๆ อีก เช่น เกลือป่น น้ำตาลทราย โดยทั่วไปแล้วจะนิยมใช้น้ำที่เย็นในการนวดขนมปัง เพื่อเป็นการช่วยลดอุณหภูมิในระหว่างการนวด ซึ่งปกติแล้วในขั้นตอนการนวดนั้น แป้งจะเกิดการเสียดสีกันมาก จึงทำให้ก้อนแป้งมีอุณหภูมิที่ร้อน

              6.  ยีสต์  ยีสต์เป็นส่วนผสมที่สำคัญชนิดหนึ่งของการทำ ขนมปัง ยีสต์เป็นส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่ในการหมักที่ดี ทำให้ขนมปังพองตัวขยายใหญ่ขึ้น

              7.  นม
                    นมที่ใช้ในการทำนมปังมีอยู่หลายชนิด เช่น นมสด นมผง นมข้นจืด ส่วนการใช้นั้นขึ้นอยู่กับสูตร โดยนมจะช่วยให้ขนมปังมีความมันและสีสวยเมื่ออบสุก

              8.  เกลือป่น หน้าที่สำคัญของเกลือป่นคือช่วยเน้นรสชาติ ของส่วนผสมอื่นๆ การใช้เกลือป่นนั้นควรเลือกใช้เกลือป่นที่ละเอียดและเม็ดเล็ก เพื่อการละลายที่ง่ายในขั้นตอนการนวด

              9.  กลิ่น รส เครื่องเทศ กลิ่น รส เครื่อเทศที่ใช้ในการทำขนมปังนั้น โดยส่วนใหญ่และใช้เพื่อให้ขนมปังดูน่ารับประทานมากขึ้น อาทิเช่น วานิลา เครื่องเทศจำพวก ออริกาโน ลูกจันทน์ อบเชยป่น เป็นต้น






ที่มาของเว็บ http://natanyabakery.fix.gs/index.php?topic=81.0
  • แป้ง 6 1/2 ถ้วย
  • น้ำอุ่น(อุ่นกว่าอุณหภูมิร่างกายเล็กน้อย) 3 ถ้วย
  • ยีสต์ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ


ความเป็นมาของขนมปังในประเทศไทย
121ae1   ขนมปังเป็นอาหารที่ไม่ใช่ขนม สมัยอยุธยาตอนที่ชาวยุโรปมาอยู่กันมาก นำแป้งสาลีเข้ามาด้วย ทำขนมปังกินกันตามภาษาคนคิดถึงบ้าน ยังติดการกินอยู่แบบฝรั่ง ที่กินขนมปัง มันฝรั่ง ไม่ได้หุงข้าวกินกันแบบบ้านเรา เพราะข้าวสาลีหุงได้ แต่กินไม่ได้ เพราะมันจะเละ จนไม่น่ากิน และพกพาไปเป็นสะเบียงลำบาก สมัยก่อนไม่มีถุงพลาสติก กล่องพลาสติก ขนมปังจึงเป็นวิธีการกินที่ชาญฉลาด เพราะแห้ง เบา และเก็บได้นาน หากห่อผ้าแห้งไว้สามารถเก็บไว้ได้หลายวัน 
  คำว่าขนมปัง ไทยรับมาตรงๆจากภาษาฝรั่งเศสคือ " Pan " อ่านว่า " แปง " คนไทยเห็นว่า ไม่น่าจะเป็นอาหารหลักได้ จึงเรียกว่าขนม เรียกติดปากมาตลอดว่า ขนมปัง เอ้า ขนมก็ขนม 
ขนมปังที่คนไทยคุ้นเคยที่สุด เห็นจะเป็นขนมปังแถว สมัยก่อนเรียก ขนมปังปอนด์ เจ้าตลาดสมัยก่อนคือ ไซเลอร์ ปัจจุบันแบรนด์นี้ไม่มีแล้ว ลองลงมาก็มีแบรนด์ไทย ตรา " AA " ซึ่งหายจากตลาดไปเช่นกัน 
ชาวฝรั่งเศสนิยมทำขนมปังเป็นเส้นยาวๆ ชาวโลกเรียกว่า French Bread ยาวประมาณ 50 ซม. ผิวนอกแข็งfrench-breadมาก ทุบหัวคนเจ็บ คนฟันไม่ดีห้ามกัดตรงๆ รสชาติจืดๆ ไม่ใส่น้ำตาล ชาวฝรั่งเศสมีรสนิยมในการทำขนมปังมาก ดูแล้วน่าบริโภคไปหมด คนเวียดนามได้สูตรการทำ ขนมปังจากฝรั่งเศส ทำขนมปังเนื้อแน่น ไม่อ่อนพริ้วแบบขนมปังไทย ของเราคงจะหนักผงฟูกระมัง ชอบกันนักของฟูๆ 
ชาวอังกฤษชอบทำขนมปังเป็นก้อนกลม ขนาดประมาณ 12 ซม. มีแบบนุ่มและแบบแข็ง แบบนุ่มเรียกว่าBreakfast Roll รับประทานเป็นอาหารเช้า ตื่นนอนใหม่ๆเหงือกยังไม่อยู่ตัว เคี้ยวของนุ่มๆไปก่อน 
orange_rolls_2แบบแข็งเรียกว่า Dinner Roll รับประทานกับอาหารมื้อเย็น แข็งมาก บริหารเหงือกดีมาก เวลาเสริฟ 
bran dinner rollsจะเสริฟขนมปังด้านซ้าย เรียกว่า ซ้ายใครขวามัน หากใครคว้าด้านขวา โต๊ะนั้นต้องขวาหมด คือผิดหมดทั้งโต๊ะ และยังชอบทำขนมปังสะโคน สำหรับกินกับน้ำชาตอนบ่าย มีความสุขกันจริงๆนะ บ่ายๆเราต้องไปรับลูก พวกเขานั่งดื่มน้ำชาชาวแดนิชชอบของหวานๆ สาวแดนิชจุงอ้วนฉุ ขนมปังแนวเขาจะออกหวานมาก เราเรียกว่า Danish Bread นานๆทานทีก็อร่อย ทานบ่อยๆเลี่ยนมาก 
  ชาวเยอรมันทำขนมปังหลายแนวมาก มีทั้งเป็นแท่ง เป็นก้อน มีก้อนเล็ก ก้อนใหญ่ และก้อนยักษ์กินได้ทั้งตำบล และมีแบบขดเป็นวง 2 วง เรียกว่า Pretzel ผมเคยถามเพื่อนชาวเยอรมันว่าทำไมทำเป็น 2 วงแบบนี้ เขาบอกว่า ก่อนนั้นที่อาหารการกินขาดแคลน ทำเป็นก้อนตันๆไม่พอแบ่ง จึงทำเป็นเส้นเล็กๆขดเป็นวง แต่มีอุบาย หลอกเด็กว่าการทำเป็นวง 2 วง ทำให้สามารถเห็นดวงจันทร์ได้ 2 ดวง 
pretzel   ชาวญี่ปุ่นเรียกขนมปัง ว่า " ปัง " ตรงตัว และทำขนมปังทุกแบบที่มีในโลก หากเข้าร้านขนมปัง ญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันมีอยู่มากมายในประเทศไทย จะพบขนมปังเป็นร้อยชนิด ดูลานตา ไม่รู้จะลองอะไรก่อนดี 
  บ้านเราเมืองร้อนไม่จำเป็นต้องกินไขมันมาก ควรเลือกบริโภคขนมปังที่ไม่มีครีม หรือมีแต่น้อย หากกินเค็กหนึ่งชิ้น คิดได้ว่าเค็กเป็นเชื้อเพลิงชนืดหนึ่ง ได้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ คุณต้องวิ่ง 840 เมตร ถึงจะเผาไอ้เจ้าเชื้อเพลิงนี้หมดไป ไม่ไปสะสมที่หน้าท้อง 
  ขนมปัง เป็นขนมอบชนิดหนึ่ง ที่ได้จากการใช้ยีสต์ โดยมีส่วนผสมหลัก คือ แป้งสาลี ยีสต์ เกลือ น้ำ และส่วนผสม อื่น ๆ เช่น ไข่ น้ำตาลนม เนย ผลไม้ ฯลฯ  เป็นส่วนผสมที่เกิดจากการนวดผสมรวมกัน ทำให้เกิดขนมปังชนิดต่าง ๆ มากมาย เช่น ขนมปังหวาน ขนมปังผลไม้เป็นต้น 
ขั้นตอนในการทำขนมปัง 
ชนิดของขนมปัง ขนมปังที่มีขายในท้องตลาดบ้านเรา มีมากมายหลายชนิดหลายรูปแบบ  ตามแต่ร้านผลิตจะทำผลิตภัณฑ์ออกขาย แต่ขนมปังเหล่านั้นสามารถแยกได้ตามชนิดของขนมปัง คือ
1. ขนมปังแซนด์วิช , ขนมปังปอนด์ขนมปังชนิดนี้  จัดเป็นขนมปังที่มีปริมาณไขมันน้อย นิยมใช้ทำแซนด์วิช  มีลักษณะเป็นแท่งโดยใช้พิมพ์ขนาดยาวแคบเพื่อบังคับรูปร่างและปริมาตรของโดให้เสมอกันทั้งสองข้าง มีเนื้อละเอียดนุ่ม 
charoenphan_pung14_3
2. ขนมปังฝรั่งเศส 
ขนมปังชนิดนี้  จัดเป็นขนมปังที่มีปริมาณไขมันต่ำประมาณ 0.3 % แป้งที่ใช้ทำต้องมีปริมาณกลูเต้นสูงเพื่อที่จะสามารถทนทานต่อการหมักได้ โดที่ผสมปั้นเป็นรูปร่างแล้วจะต้องทาผิวด้วยน้ำ จึงตัดให้เป็นรอยเฉียงขวางบนก้อนโดด้วยมีดโกนคม ๆ  ก่อนที่จะนำไปอบให้แห้งและกรอบผิวนอก  ควรมีไอน้ำฉีดเข้าตู้อบก่อนจะนำโดเข้าอบ 
18-20051116111159
3. ซอฟท์โรล 
          ซอฟท์โรลทำจากโดที่มีความเข้มข้นสูง  จะมีไขมันและน้ำตาล 12 - 15 % ของแป้ง โรลที่อบได้จะมีรสหวานนุ่ม และเนี้อละเอียด  ซอฟท์โรลจะมีการพักตัวเพื่อให้ขึ้นฟูเต็มที่ วางก้อนโดให้ห่างกันในถาดอบเพื่อไม่ให้โรลติดกันเมื่ออบแล้ว ซึ่งเป็นลักษณะของโรลประเภทนี้ เช่น แฮมเบเกอร์ ฮอทดอท 
10noeat_00001
4. ขนมปังหวาน 
ขนมปังหวานมีหลายชนิด เช่น ขนมปังลูกเกด ขนมปังไส้ต่าง ๆ คอฟฟี่เค้ก ฯลฯ ขนมปังหวานจะต่างจากขนมปังจืดที่ส่วนผสม  เพราะโดของขนมปังหวานจะมีสูตรเข้มข้นกว่าโดของขนมปังจืด  โดยมีประมาณน้ำตาลนม  ไขมัน  ไข่  สูงกว่าขนมปังจืด   ขนมปังหวานจากสูตรเดียวกันสามารถดัดแปลงให้เกิดเป็นขนมปังหวานมากมายหลายชนิด  โดยกำหนดรูปร่างและไส้ให้แตกต่างกัน  แล้วเรียกชื่อตามรูปร่างหรือไส้ของขนมปังชนิดนั้น ๆ 

1211431982

ที่มาของเว็บ http://pajjai4.blogspot.com/2010/11/bread-s-history.html

ความเป็นมาของขนมปัง (Journey of the bread)

มาทราบเส้นทางการเดินทางของขนมปัง จากอดีตถึงปัจจุบัน

ความเป็นมาของขนมปัง (Journey of the bread)
เท่าที่เล่าต่อๆ กันมาว่า ในยุคหิน ช่วง3,000 ปี ก่อนคริสตกาล ชาวสวิสที่อาศัยอยู่ตามทะเลสาบเป็นผู้ริเริ่มนำเมล็ดข้าวสาลีมาบดโดยใช้ครกที่ทำจากหินหยาบๆ ตำ นำไปผสมน้ำ แล้วนำไปเทลงบนหินร้อนๆเพื่อให้สุก ผลที่ได้คือขนมปังที่ขึ้นฟูโดยไม่ได้ตั้งใจ
ส่วนอีกทางหนึ่งกล่าว่าพวกทาสในสมัยอียีปต์โบราณ ได้ทิ้งก้อนแป้งที่ผสมไว้แล้วลงไปในแป้งที่ผสมเสร็จใหม่ๆ ผลที่ได้คือแป้งที่เบา ฟู และรสอร่อย มีหลักฐานเช่น จิตกรรมฝาผนังในสุสานหลายๆแห่งมีภาพวาดรูปคนถือขนมปังบูชาเทพพระเจ้า นอกจากนั้นยังมีการค้นพบหินโม่แป้งและเตาอบขนมปังซึ่งทำจากดินที่เป็นทรงกรวย สันนิษฐานว่าเป็นต้นแบบของเตา “ ทันดูร ”
ในยุคอียิปต์นี้จะมีการแบ่งขนมปังออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ขนมปังแบบที่ขึ้นฟู ที่รับประทานกันทั่วๆไป และ
2. Matzos ซึ่งเป็นขนมปังลักษณะแบนๆ ซึ่งจะนำมารับประทานกันในโอกาสพิเศษทางศาสนาเท่านั้น
ความรู้เกี่ยวกับการทำขนมปัง ได้แพร่หลายจากอียิปต์ไปสู่ภูมิภาคต่างๆ แถบเมดิเตอเรเนียนและเยรูซาเล็มโบราณ รวมทั้งเมืองเล็กเมืองน้อยที่อยู่บนเส้นทางค้าขายแถบตะวันออกกลาง การทำขนมปังก็ได้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งในยุคนั้นขนมปังที่ผลิตออกมาจะมีขนาดเล็ก คล้ายกับขนมปังดินเนอร์โรลในปัจจุบัน ส่วนขนมปังแบนๆ ที่ไม่ทิ้งให้ขึ้นฟูจะใช้ในโอกาสพิเศษ เช่น พิธีทางศาสนา
หลังจากนั้นขนมปังได้แยกเส้นทางเป็น 2 สาย สายหนึ่งข้ามไปทางฝั่งยุโรป โดยพวกพ่อค้าชาวโพนิเชียน ซึ่งชาวกรีกยุคแรกเป็นพวกแรกที่ได้เรียนรู้การทำขนมปังที่ขึ้นฟูมาจากพวกกลุ่มโพนิเซียน 1000 ปีก่อนคริสตกาล
ในศตวรรษต่อมา วิวัฒนาการในศิลปะการทำขนมปังก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ชนชาติกรีกได้ประดิษฐ์หินโม่แป้งสาลี และผลิตแป้งออกมาถึงสี่ชนิด ซึ่งชนิดหนึ่งนั้นเป็นแป้งสาลีชนิดขาว (White flour) และได้ดัดแปลงเตาอบแบบอียีปต์โบราณมาเป็นเตาอบแบบใช้อิฐก่อเป็นรูปโดม ซึ่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขิ้น ชนชาติกรีกนั้นใช่แต่จะเป็นผู้ผลิตขนมปังที่ทำจากแป้งสาลีชนิดสีขาวที่มีคุณภาพเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังได้ผลิตขนมเค้ก และขนมนานาชนิด โดยใช้ส่วนผสมกับนม น้ำมัน เหล้าไวน์ เนยแข็ง และน้ำผึ้งผสมเข้าไปด้วย
ตลอดกาลสมัยเหล่านี้ จากกรีก ไปโรม ถึงยุโรปตอนกลาง ศิลปะการทำขนมอบดำเนินไปอย่างช้าๆ ต่อมาความเจริญก้าวหน้าอย่างมหาศาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้เกิดวิวัฒนาการอย่างใหญ่หลวงแก่การทำขนมอบในปัจจุบัน สาเหตุใหญ่ 2 ประการ คือ ในกลางปี 1800 ได้มีการตั้งโรงโม่แป้งสาลี และได้มีการผลิตแป้งสาลีที่ดีออกสู่ตลาด และในตอนปลายศตวรรษนั้นได้มีการใช้ยีสต์ ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการทำให้แป้งขนมปังขึ้นฟู และมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย
ส่วนการเผยแพร่ขนมปังอีกสายหนึ่งได้เดินทางมาสู่ทวีปเอเชียกลาง มายังอินเดีย และ จีน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอิทธิพลของยุคล่าอาณานิคม ประเทศเจ้าอาณานิคมได้นำเอาทุกๆอย่างที่มีอยู่ในประเทศของตนเข้ามาเผยแพร่ให้กับประเทศใต้อาณานิคมรวมถึงอาหารการกินซึ่งหนึ่งในนี้ก็คือ ขนมปัง เลยทำให้ประเทศในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ซึ้งเคยรับประทานข้าวเป็นหลักหันมารับประทานขนมปังตามประเทศเจ้าอาณานิคม เช่น เวียดนาม ลาว ซึ่งตกอยู่ใต้การปกครองของฝรั่งเศสรับเอาขนมปังบาแกตต์มาเป็นอาหารเช้า
ในปัจจุบันนี้ การทำขนมอบนั้นนับว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องการความชำนาญเป็นอย่างมาก แต่วิวัฒนาการด้านเครื่องมือและเครื่องทุ่นแรงต่างๆ ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ก็ได้รับการพัฒนาคิดค้นอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเตาอบที่ควบคุมด้วยไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแบ่งก้อนแป้งและปั้นกลมอัตโนมัติ เพื่อให้การทำขนมปังมีวิวัฒนาการ เจริญก้าวหน้า และทันสมัยต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง